Sunday, October 01, 2006

Revealing the Evil Plan

This e-mail message has been circulated to warn of Thaksin's grand evil plan...

Subject: รักในหลวงจงอ่านให้เข้าใจ แล้วส่งต่อๆๆๆ ด่วนที่สุด
Date: Thu, 21 Sep 2006 05:25:08 -0800
ก่อการกบฎเพื่อความอยู่รอดบนกองซากศพโดยทักษิณ ชินวัตร
ผู้เขียน : ธุลีพระบาท

สถานการณ์การเมืองของประเทศไทยในปัจจุบัน ได้ทำให้ประชาชนไทยเรียนรู้ถึงความเด่นชัดของ คำว่า "พระบารมี" กับคำว่า "ทรราช" ด้วยตาตนเอง เราได้มองเห็นพระบารมีของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ได้สร้างเหตุการณ์อันยิ่งใหญ่ไม่อาจลืมเลือนไปจนกว่าเราจะสิ้นใจ นั่นคือภาพของความยิ่งใหญ่แห่งพระมหากษัตริยาธิราช ผู้ทรงไว้ด้วยทศพิธราชธรรม และพระเมตตาบารมีอันหาที่สุดมิได้แก่เหล่าพสกนิกรของทูลกระหม่อม ทรงได้รับการเทิดไว้เหนือเกล้า สถิตย์ ณ ดวงใจของเราชาวไทยทุกคน และความปิติสุข และเปล่งเสียงจากหัวใจของเราทั่วทั้งแผ่นดินว่า “ขอพระองค์ทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน" ณ ทุกที่ที่ทรงเสด็จไปทรงประทับอยู่ และทรงเป็นผู้ประทับอยู่ในความทรงจำของเราและโลกชั่วนิจนิรันดร์

ในขณะที่มีบุคคลอีกหนึ่ง ที่ได้รับการก่นด่าสาปแช่งไปทั่วประเทศ ซึ่งได้แสดงพฤติกรรมของตนเอง ตีตนเสมอเทียบเท่าปานประหนึ่งตนเองนั้นต่างหากเล่าคือ พระมหากษัตริย์เสียเอง นามอันเป็นอัปมงคลที่จะถูกจารึกเป็นบทเรียนสอนลูกหลานนั้นคือทักษิณ ชินวัตร!!! ข้อมูลที่จะปรากฎต่อไปนี้ คือสิ่งที่จะคงอยู่เพื่อเป็นประวัติศาสตร์อีกหน้าหนึ่งที่แม้จะเล็กๆ แต่ก็จะถูกส่งต่อไปยังรุ่นลูกหลานในอนาคตของแผ่นดินนี้ และผู้คนทั่วโลก

ทักษิณ ชินวัตร วางแผนเตรียมก่อการกบฏล้มล้างราชวงศ์จักรี และฆ่าล้างประชาชนผู้ต่อต้านทุกคน เพื่อขึ้นปกครองประเทศในฐานะผู้สถาปนาราชวงศ์ใหม่แทนที่รัชกาลปัจจุบัน เป็นการเริ่มต้นคำพยากรณ์เรื่องการไร้ซึ่ง รัชกาลที่ 10 พร้อมควบรวมตำแหน่งตนเองในฐานะ ประธานาธิบดี อีกตำแหน่ง เปลี่ยนการปกครองจากระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข" เป็น "การปกครองในระบอบเผด็จการทรราชทุนนิยมเบ็ดเสร็จ" ซึ่งดำรงอยู่ด้วยกุศโลบาย คนเดียวปกครองและตัดสินใจทุกเรื่อง ใครตามข้าอยู่ ใครขวางข้าตาย!!!

ตลอดเวลาของการปกครองของประเทศไทย ได้ถูกเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ มาเป็นประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นพระประมุข โดย "คณะราษฎร" ในปี 2475 คณะราษฎร ซึ่งประกอบด้วยนักการศึกษาไทยในยุคนั้น ที่ได้รับทุนหลวงและโอกาสไปศึกษายังประเทศอังกฤษ ฝรั่งเศส เยอรมนี สมคบคิดกับผู้นำทหารและข้าราชการผู้โลภในผลประโยชน์ ทำการปล้นชิงพระราชอำนาจจากพระมหากษัตริย์ องค์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว เพื่อหวังจะสร้างประชาธิปไตยตามแบบของประเทศที่ คณะราษฎร เรียกว่า อารยะ และใช้การบริหารประเทศผ่านรัฐบาล และ สภาโดยปราศจากการแทรกแซงของ สถาบันพระมหากษัตริย์ ตัดขาดความสัมพันธ์โดยตรงจากดั้งเดิม ที่สถาบันพระมหากษัตริย์ทรงปกครองอาณาประชาราษฎร์โดยตรง ผ่านถวายงานต่างพระเนตรพระกรรณ อันเป็นเกียรติของผู้เป็นข้าราชการ ทุกคน และทำให้ข้าราชการต้องตกอยู่ใต้อำนาจของ คณะราษฎร และทรงยอมที่จะลงพระปรมาภิไธยในรัฐธรรมนูฉบับแรกของประเทศ ตามที่คณะราษฎร กราบบังคมทูลขอพระราชทาน ซึ่ง ท่านรัฐบุรุษปรีดี พนมยงค์ ได้ทำการลับเพื่อรักษาพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ไว้ ในรูปของกฎหมายรัฐธรรมนูญในหลายมาตรา โดยผู้ก่อการฝ่ายต่างๆ ไม่รู้สึกคัดค้านและปล่อยผ่าน และด้วยพระปรีชาสามารถของล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ 7 ทรงทราบถึงจิตเจตนาของผู้ก่อการณ์ จึงทรงละเว้นการนองเลือดสูญเสีย และได้พระราชทานพระราชอำนาจของพระองค์ โดยมีลายราชหัตถเลขากำกับมาพร้อมกันนั้น โดยใจความสรุปคือ "พระองค์ทรงพระราชทานพระราชอำนาจให้แก่ปวงชนชาวไทยทุกคน มิใช่ให้แก่คณะบุคคลหรือบุคคลผู้หนึ่งผู้ใด" และด้วยพระมหากรุณาธิคุณนี้ ทำให้ผู้พยายามรวมกำลังเข้าทำการกู้พระราชอำนาจขององค์รัชกาลที่ 7 กลับคืนมา จึงไม่ถูกสังหารจนหมดสิ้น ดังที่ถูกจารึกในประวัติศาสตร์ว่าเป็น “คณะผู้ก่อการกบฏต่อรัฐบาลในนาม กบฏพระองค์เจ้าบวรเดช" แต่ก็ทำให้เกิดประวัติศาสตร์ของเกาะตารุเตา ที่ใช้เพื่อกักกันนักโทษการเมืองในเวลานั้น

กลับมาสู่ยุคปัจจุบัน พ.ศ. 2549 ทักษิณ ชินวัตร เตรียมพร้อมตลอดเวลาในการก่อการกบฏล้มล้างราชบัลลังก์ หมายพระชนม์ชีพของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และ พระบรมวงศานุวงศ์ และได้เดินแผนกุศโลบายทุกด้าน ทั้ง การเมือง เศรษฐกิจ การทหาร ข้าราชการ และ มวลชน เพื่อแทรกซึม แทรกแซง ทำให้อ่อนแอ และควบคุมอำนาจสั่งการ จนวันนี้ ทุกระบบอ่อนแอและไร้ทิศทาง ทักษิณ ชินวัตร จับมือกับอดีตผู้ปฏิบัติงานพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยเขตงานอีสานใต้ ดังที่ได้รับทราบจากการเปิดเผยของทั้ง คุณคำนูณ สิทธิสมาน และอาจารย์ปราโมทย์ นาครทรรพ ตลอดจนอดีตผู้ปฏิบัติงานพรรคคอมมิวนิสต์ในพื้นที่ต่างๆ ซึ่งเรียกว่าเป็น “ผู้ร่วมพัฒนาชาติไทย" หรือ "ผู้ปฏิบัติงานพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยสายปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์" ในพื้นที่ต่างๆ ทั่วประเทศ ต่างไม่ยอมรับปฏิบัติการของเขตงานอีสานใต้ และประกาศตัดขาดจากกลุ่ม สโมสรหนึ่งเก้าและรับทราบกันโดยทั่วไปว่า “เป็นคอมมิวนิสต์ผู้ร่วมก่อการล้มล้างราชบัลลังก์" ที่นำโดย พรหมมินทร์ ภูมิธรรม จาตุรนต์ พงษ์เทพ

ส่วนกองทัพไทยทั้ง 3 เหล่า และ 1 องค์กร คือ ทัพบก ทัพเรือ ทัพอากาศ ตำรวจ ก็ถูกแทรกแซงและควบคุมโดย เตรียมทหาร รุ่น 10 ในระดับบัญชาการ ในภาคการเมือง คือการทำลายองค์กรอิสระ และปิดปากกระทั่งตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ และ ตามประกบติดกรรมสิทธิมนุษยชน จนถึง ทำลายทนายสมชายจนกลายเป็นฝุ่นหายไปจากโลก (ทนายสมชายตายแล้วและถูกเผาทำลายศพจนไม่เหลือซาก)

ระบบข้าราชการ คือ การสั่งการโดยระดับรัฐมนตรีเพื่อทำลายความจงรักภักดีจนสิ้นสภาพ และเปลี่ยนข้าราชการให้กลายเป็นพนักงานรัฐ ซึ่ง พนักงานรัฐต้องจงรักภักดีต่อนักการเมือง ต่อผู้กุมอำนาจรัฐ

ในภาคมวลชน ก็ใช้เงินเข้าไปทำลายวิถีชีวิตความเป็นอยู่ จนลืมเลือนวิถีชีวิตพอเพียง และสร้างภาระหนี้สินครัวเรือนกระจายไปทั่วประเทศ

ในส่วนภาคธุรกิจ บีบองค์กรธุรกิจให้สยบยอมและทำให้วงจรการเงินที่เป็นหัวใจของการลงทุนคือ ธนาคาร กลายสภาพไปเป็นธนาคารของต่างชาติ จนภาคธุรกิจวันนี้ กำลังล้มตายทุกวัน และที่อยู่ได้ก็แค่หายใจรวยรินเหมือนปลากำลังจะตายเพราะขาดน้ำ

เมื่อวันนี้ทักษิณ ชินวัตรกล้าชนกับพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ จึงต้องเตรียมการรองรับสถานการณ์สำคัญคือ ทักษิณ ชินวัตร กล้าทำลายกระบวนการยุติธรรม ด้วยการขัดขืนอำนาจตุลาการที่จะตัดสินคดีความ และทำการใช้สรรพกำลังเพื่อต่อต้านคำพิพากษา ที่จะทำให้ตนเองหลุดจากอำนาจ และเมื่อมีการต่อต้านอำนาจตุลาการ ก็จะเป็นสัญญาณที่ส่งถึงกำลังรบของตนเองทั้งหมด ให้เคลื่อนไหวสั่งการเพื่อทำการปฏิวัติก่อการกบฏเข้าทำการ ควบคุม ปิดล้อม หรือ กดดัน พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ด้วยกลวิธีการสารพัด เพื่อตัดขาดพระองค์จากสื่อสารมวลชน จากประชาชน และสถานการณ์วิกฤตินั้นกำลังจะเกิดขึ้น!!!

การประเมินถึงความสามารถในปัจจุบันของฝ่ายกบฏ ได้ให้คำตอบแก่ฝ่ายที่เกี่ยวข้องกับการถวายความปลอดภัย และฝ่ายความมั่นคงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่เฝ้าติดตามสถานการณ์อย่างเงียบๆ และออกมาเตือนว่า รับรู้เสมอ อย่างพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ พลเอกสุรยุทธ จุลานนท์ พลเอกสนธิ บุญยรัตนกลิน พลโทสพรั่ง กัลยาณมิตร และ ทหารของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จึงเตรียมพร้อมเสมอ ในฐานะของ "ฝ่ายตั้งรับ"

มีการสร้างกระแสข่าวเพื่อเตรียมโจมตีกล่าวหาสถาบันพระมหากษัตริย์ ว่าเป็นผู้ที่จะทำการส่งคนลอบสังหาร ทักษิณ ชินวัตร และเพื่อสร้างหลักประกันการฆ่าล้างประชาชนผู้ต่อต้านอำนาจตนเอง จึงทำการส่งจดหมายไปยังผู้สหรัฐ ดังที่ทราบกัน ทั้งหมดนำไปสู่จุดประสงค์สำคัญเพียงประการเดียวคือ ทักษิณ ชินวัตร จะทำการกล่าวหาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ว่าเป็นกบฏต่อรัฐธรรมนูญ ถ้า ทำการปล่อยให้ทหารในพระองค์ ปล่อยให้ตุลาการ ปล่อยให้ผู้แทนพระองค์ ทำการต่อต้านอำนาจของมันที่จะเข้ายึดครองประเทศ ดังที่มีการพยายามเคลื่อนไหวผ่านบทความโจมตีพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ผ่านบทความของ อ. ธรรมศาสตร์ท่านหนึ่งที่กล่าวหาพระบาทสมเด้จพระเจ้าอยู่หัวว่า ไม่ใช่ผู้มีสิทธิในราชสมบัติ แต่ผู้สืบทอดที่สมควรได้รับคือ ราชสกุลจักรพงษ์! และเสียงเล่าลือกันในวงการสื่อถึงคำพูดของทักษิณในสนามกอล์ฟ "จะสั่งสอนบทเรียนแบบเนปาลให้แก่คนบางคน" ตามด้วย เสียงเล่าลือกันในวงการเมืองระดับคนใกล้ชิดแกนนำพรรคไทยรักไทย ถึงคำพูดสำคัญที่ว่า "เราจะไม่ยอมให้ไอ้แก่ตาบอดควบคุมประเทศนี้อีกต่อไป"

มันคือการเตรียมพร้อมที่ไม่เหลือเวลามาถามว่าจะจริงหรือ ทำได้หรือ เป็นไปไม่ได้หรอก เพราะข้อมูลสุดท้ายที่ผมจะบอกกล่าวแก่ทุกท่าน คือ สิ่งที่จะยืนยันได้ว่า ทุกสถานการณ์ที่นำไปสู่ การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ของประชาชนชาวไทยในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ กับทุกเรื่องราวที่เกิดขึ้นมันเป็นเรื่องของคนที่เห็นเงินสำคักว่าชีวิตคน รัฐบาลสหรัฐ โดยประธานาธิบดี จอร์จ ดับบลิว บุชประกาศทำสงครามต่อต้านการก่อการร้าย หลังจากการสั่งการถล่มตึกเวิลด์เทรด และจากนั้น หน่วยงานสืบราชการลับสหรัฐ (CIA) ได้ทำการเปลี่ยนตัวผู้อำนวยการ ในความผิดฐานที่ปล่อยให้รายชื่อสายลับและข้อมูลที่ตั้งหน่วยงาน หลุดรอดเข้าสู่อินเตอร์เน็ต และหลังจากนั้น นางสาวคอนโดลิซซ่า ไรซ์ รับช่วงอำนาจจาก นายโดนัลล์ รัมสเฟลด์ ให้ทำปฏิบัติการพิเศษในพื้นที่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ภายหลังการถล่ม อาฟกานิสถาน อิรัก และปากีสถาน และเพื่อจะสร้างตัวละครผู้ก่อการร้ายของโลก ได้ทำการกล่าวโทษอัลกออดะห์ ของโอซามา บิน ลาเดน และได้ทำการจัดงบประมาณปีละ 200 ล้านเหรียญ ส่งให้กับผู้นำทหารปากีสถาน เพื่อใช้ในการจัดส่งคนแทรกซึม และเข้ามาสร้างสถานการณ์ในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ จึงทำให้ช่วงเวลาที่สถานการณ์ในสามจังหวัด ถูกจับตามอง โดย CIA และ หน่วยงานปฏิบัติการข่าวกรองไทย และออกข่าวว่า ผู้ก่อความไม่สงบคือ คนไทยที่ไปเรียนในโรงเรียนฝึกสอนการก่อการร้ายที่ประเทศปากีสถาน และในเวลานั้นเองที่ ข้อตกลงร่วมระหว่างรัฐบาลไทย กับ สหรัฐเริ่มขึ้นด้วยการเปิดเผย หนังสือข้อตกลงร่วมกันกับ หน่วยงานจัดตั้งใหม่ของ CIA ที่ชื่อ CTIC และ หน่วยปฏิบัติการต่อต้านการก่อการร้ายหน่วยย่อย คือ CSIS โดยสื่อมวลชนไทย ในชื่อ เซี่ยงเส้าหลง และผู้ติดตามสถานการณ์อย่าง นต.ประสงค์ สุ่นสิริ และฝ่ายปฏิบัติการข่าวกรองทางทหาร ของกองทัพบก ได้ทำการตรวจสอบและติดตามถึงที่มาและผู้ที่เกี่ยวข้องของสถานการณ์ กับการเรียกประชุมผู้นำเหล่าทัพและต่อมาท่านได้เสียชีวิตอย่างลึกลับคือ พล.ต.ท.สมควร หริกุล จนทำให้เกิดรายงานที่ยังไม่ถูกเปิดเผย แต่ก็เหมือนกับสายเกินไปเพราะทุกอย่าง ได้ดำเนินการไปจนเกือบจะถึงจุดสิ้นสุดแล้ว

รายงานที่มีผู้กล่าวถึงในวงจำกัด แม้ในสายตาของผู้ทำงานด้านข่าวกรองและความมั่นคงเอง เรื่อง "แผนการล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์และโครงสร้างกองทัพไทย โดย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร" ท่านทั้งหลายที่รับรู้ความเป็นไปของสถานการณ์ของประเทศไทยเวลานี้ จงรับรู้ไว้เถิดว่า CIA คือ ผู้ที่ทำการส่งงบประมาณ 200 ล้านเหรียญตามที่แจ้งให้ทราบเบื้องต้นแก่ผู้นำทหารของประเทศปากีสถาน แต่ หลังจากนั้นไม่นานประเทศปากีสถาน ก็ถูกแทรกแซงกิจการภายในจนประเทศเริ่มเข้าสู่ภาวะความเสี่ยง จึงทำการปฏิเสธการปฏิบัติการสร้างผู้ก่อการร้ายในประเทศไทย ทำให้ CIA ตัดสินใจประสานงานกับรัฐบาลไทย ในเวลาที่มีการเปิดเผย ข้อตกลง CTIC และสอดคล้องกับจดหมายจาก ทักษิณ ถึง บุช ในข้อความที่ว่า “และความร่วมมือของเราทั้งสองในปฏิบัติการต่อต้านการก่อการร้ายยังคงมีอยู่ต่อไป" ทำให้ความลับที่ปิดซ่อนมานานถูกเปิดขึ้นแล้ว รัฐบาลสหรัฐทำการสนับสนุนเงิน ปีละ 200 ล้านเหรียญ เท่ากับ 8,000 ล้านบาท แก่รัฐบาลไทย และรับผิดชอบในการสร้างผู้ก่อการร้ายในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยอยู่ในความรับผิดชอบของ คน 2 คน ซึ่งมีอำนาจอนุมัติเงินเบิกจ่ายงบประมาณลับก้อนนี้

1. พลตำรวจเอกชิดชัย วรรณสถิตย์ รักษาการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม และรักษาการรองนายกรัฐมนตรี และผู้รับผิดชอบงานด้านความมั่นคงของประเทศไทย ในการแก้ไขสถานการณ์ความไม่สงบมีอำนาจ ในการสั่งการหน่วยงานความมั่นคงทุกหน่วย โดยเฉพาะ หน่วยงานข่าวกรอง 14 หน่วย ในประเทศไทย
2. พลเอกวินัย ภัททิยกุล เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ ผู้รับผิดชอบในปฏิบัติการทางทหารเพื่อการแก้ไขสถานการณ์ความไม่สงบ ร่วมกับทางตำรวจและชิดชัย วรรณสถิตย์ นี่คือ ความอัปยศ ที่คนสองคนสร้างขึ้นภายใต้การเฝ้ามองตลอดเวลา และนำสถานการณ์มาใช้ประโยชน์ทางการเมือง เพื่อการออกประกาศ พรก.ฉุกเฉิน หรือ ใบอนุาตฆ่า ของ ทักษิณ ชินวัตร ที่ทำให้เหตุการณ์ไม่สิ้นสุด และคนที่ตายนับหมื่นศพ ตลอด 5 ปี ในทุกเหตุการณ์ไม่ว่ากรือเซะ ตากใบ หรืออุ้มฆ่า ตลอดจนที่หายสาบสูญ

การทำลาย ศอ.บต. พตท. 43 การปลด ผอ.พลากร สุวรรณรัตน์ การทำลายแนวป้องกันด้านการข่าวของพลเรือน การสลายกำลังแนวร่วมการข่าวของชาติ เพื่อเปิดทางสะดวกในทุกปฏิบัติ นี่แหละ ตัวตนของการสร้างสถานการณืความไม่สงบ เพื่อสนองรัฐบาลบุช โดย ทักษิณ และปฏิบัติการสุดท้ายที่จะเกิดขึ้นและต่างปะทะกันอย่างรุนแรงที่สุด โดยที่สื่อสารมวลชนทั่วไปไม่มีทางรับรู้ จะมีก็แต่ เซี่ยงเส้าหลง และผู้เกี่ยวข้องที่สามารถเข้าถึงข้อมูลภายใน ระดับผู้ใกล้ชิดกับผู้ปฏิบัติการของสำนักพระราชวัง และบุคคลใกล้ชิดระดับแกนนำพรรคไทยรักไทย เท่านั้นที่จะทราบได้ คือ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว คือ เป้าหมายสำคัญสูงสุดในการลอบปลงพระชนม์โดยทุกวิธีการ และโดยเฉพาะการทำให้เกิดอุบัติเหตุได้ยิ่งดี การทำลายพระเกียรติยศ การพยายามปล่อยข่าวลือในทางเสียหายของพระบรมวงศานุวงศ์ การเขียนบทความโจมตีพระราชสถานะของพระเจ้าอยู่หัว ในการสืบราชสมบัติ การพยายามปิดล้อมอำนาจของทหารของพระองค์ ไม่ให้สามารถลงมือในการควบคุมตัวทักษิณ ชินวัตร การใช้ตำรวจและฝ่ายปฏิบัติงานของศูนย์รักษาความปลอดภัยแห่งชาติ (ศรภ.) ทำการประกบติดและรายงานความเคลื่อนไหวจากพระราชฐานที่ประทับทุกแห่ง ทุกพระองค์ การสอดแนมด้วยการดักฟังโทรศัพท์ในทุกพระราชฐาน ทุกพระตำหนักลับ ทุกพระสหาย และการส่งคนติดตามบุคคล VIP ทั้งหมดอยู่ในขั้นที่สามารถรับคำสั่งเพื่อการ "ฆ่า" ได้ทันทีเมื่อเวลาเกิดการรบแตกหักด้วยการทุ่มกำลังโจมตีครั้งสุดท้าย โดยสื่อสารมวลชนที่ไม่อาจทำอะไรได้มากกว่าการปิดตาปิดหูปิดปากตนเอง และในท่ามกลางสงครามที่ทักษิณ ชินวัตรจะทำการทุ่มกำลังทั้งหมดนั้นเกิดขึ้น เราไม่อาจรู้ว่าผลลัพธ์จะออกมาเป็นเช่นไร? และสำหรับประชาชนที่ไร้กำลังอาวุธ มีแต่ความจงรักภักดีคงทำได้เพียงหน้าที่ของผู้เฝ้าดูสงครามนี้ ภายใต้การปกป้องดูแลของเหล่าทหารหานอกเครื่องแบบจากกำลังรบพิเศษป่าหวาย

แกนนำพันธมิตร ท่านจะวางยุทธศาสตร์อย่างไร เพื่อนำมวลชนปกป้องพระเจ้าอยู่หัวร่วมกับทหารของพระองค์ทุกนาย ร่วมกับผู้แทนพระองค์ทุกคน ก็เตรียมตัวให้พร้อมให้ดีที่สุดเถิด

กราบเรียนทุกท่านที่ได้อ่านและรับรู้เรื่องนี้จากข้าพเจ้า ขอท่านตัดสินใจเถิดว่าท่านจะนิ่งเฉยอยู่ หรือทำประการใด เพื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
และท้ายนี้ ข้าพเจ้าขอเปิดเผยความลับสุดท้ายของทักษิณ ชินวัตร ทักษิณ ชินวัตรทำการจัดหาคนที่มีบุคลิกลักษณะคล้ายตนเองขึ้นมาจำนวน 4 คน และทำการส่งเข้ารับการผ่าตัดใบหน้าเพื่อให้คล้ายคลึงตนเอง สำหรับใช้เป็นตัวแทนในการไปยังสถานที่ต่างๆ เพื่อสร้างความสับสน การติดตามของฝ่ายต่างๆ เพื่อรับประกันว่า หากตัวสำรองถูกทำให้ตายไปแต่ก็ยังมีตัวจริงอยู่ และพร้อมจะสั่งการต่อไปในเรื่องต่างๆ มีการเตรียมเส้นทางหลบหนีไว้อย่างดี ทั้งทางบก เรือ อากาศ กำลังคนคุ้มกันติดอาวุธพร้อม 24 ชม.

และด้วยข้อกล่าวหาที่ประกาศก้องของคุณสนธิ “ทักษิณคือกบฏต่อราชอาณาจักร" แต่ตำรวจไม่ทำอะไร ทหารเคลื่อนกำลังชัดเจนไม่ได้ ก็ต้องถึงบทบาทของพลเรือน ของประชาชน

ขอเรียนให้ทราบว่า พลเอกสนธิ บุญยรัตกลิน ไม่อาจทำหน้าที่ที่ขัดต่อกฎหมายรัฐธรรมนูญใดๆ เพราะการฉีกรัฐธรรมนูญด้วยกำลังทหารก่อน ถือเป็นความผิดที่นำพาความเสื่อมเสียมาสู่กองทัพของพระเจ้าอยู่หัว ไม่ใช่เพียงแค่การเสื่อมเสียเฉพาะตัวบุคคลของท่านพลเอกสนธิ

ฉะนั้น หากจะต้องทำการฉีกรัฐธรรมนูญด้วยสิ่งสูงสุด ขอท่านแกนนำพันธมิตรและขอปวงชนชาวไทย จงทำการสร้างธงสัญญลักษณ์แห่งมติมหาชนผู้เป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตย ที่ได้รับพระราชทานจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระปกเกล้าฯ ล้นเกล้ารัชกาลที่ 7 พร้อมลงนามให้กับท่านพลเอกสนธิ อย่างเป็นทางการให้ท่านทำหน้าที่ ปกป้องชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ได้ทันทีโดยไม่ต้องสนใจต่อการฉีกรัฐธรรมนูญ เพราะถือว่า มติของมหาชน เป็นไปโดย "อำนาจของกฎหมายความมั่นคงสูงสุด" และเพื่อเป็นไปโดยความชอบธรรมนั้น ทหารจะต้องทำหน้าที่ตามที่ได้รับมอบหมายจากมหาชน และนำพระราชอำนาจนั้น กลับคืนสู่พระมหากษัตริย์และสลายกำลังรบกลับเข้ากรมกอง เพื่อเปิดทางให้ประธานศาลฎีกา ทำหน้าที่นำชื่อบุคคลผู้เหมาะสมนำขึ้นกราบบังคมทูลโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม ให้ทำหน้าที่ นายกรัฐมนตรี ภายใต้ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ คือ ท่านประธานศาลฏีกา และเร่งกอบกู้หายนะของชาติบ้านเมืองโดยเร็วที่สุด เพราะเรารอให้มากกว่านี้ไม่ได้อีกต่อไป

บันทึก : 5 สิงหาคม 2549
ผู้บันทึก : ธุลีพระบาท
ด้วยจิตคารวะต่อทุกท่าน ด้วยสำนึกในฐานะของประชาชนคนหนึ่งในชาติ ด้วยสำนึกต่อทุกผู้ที่เสียสละ เพื่อแผ่นดินไทยได้คงอยู่จนถึงวันนี้ขอเกิดและตายบนผืนแผ่นดินไทย